รู้จักโรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) ในประเทศไทย
โรคแอนแทรกซ์คืออะไร?
โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) หรือที่ภาษาไทยเรียกว่า “โรคกาลี” คือโรคติดเชื้อร้ายแรงชนิดหนึ่งที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Bacillus anthracis ซึ่งสามารถสร้างสปอร์ที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ยาวนาน เชื้อชนิดนี้มักพบในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประเภทสัตว์กินพืชที่มีเท้ากีบ เช่น วัวควาย แพะ แกะ ซึ่งเป็นแหล่งรังโรคตามธรรมชาติของแอนแทรกซ์ โรคนี้จัดเป็นโรคที่สามารถติดต่อจากสัตว์สู่คน (zoonosis) และเป็นโรคที่พบได้น้อยแต่มีความรุนแรง หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้
สาเหตุของโรคแอนแทรกซ์ (เชื้อ Bacillus anthracis)
สาเหตุของโรคแอนแทรกซ์คือเชื้อแบคทีเรีย Bacillus anthracis ซึ่งอยู่ในรูปของสปอร์เมื่ออยู่ภายนอกร่างกาย สปอร์ของเชื้อนี้มีความทนทานสูง สามารถอยู่รอดในดินหรือสิ่งแวดล้อมได้นานหลายปีโดยไม่ถูกทำลาย เมื่อมีสัตว์ที่ติดเชื้อตาย สปอร์ของแอนแทรกซ์จะปะปนอยู่ในดินหรือหญ้าบริเวณนั้นหากสปอร์เหล่านี้ฟุ้งกระจายในอากาศหรือถูกสัตว์อื่นกินเข้าไปก็อาจเริ่มวงจรการติดเชื้อใหม่ได้อีกครั้ง นอกจากนี้แบคทีเรียชนิดนี้ยังสร้างสารพิษที่มีความรุนแรง ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อมีอาการป่วยหนักได้อย่างรวดเร็ว
การติดต่อและการแพร่กระจายของโรค
แม้โรคแอนแทรกซ์จะไม่ติดต่อจากคนสู่คนโดยง่าย แต่คนเราสามารถติดเชื้อแอนแทรกซ์ได้ผ่าน 3 ช่องทางหลัก ดังนี้:
อาการของโรคในแต่ละรูปแบบ
โรคแอนแทรกซ์ในคนสามารถเกิดอาการได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับช่องทางการติดเชื้อที่ได้รับ โดยหลักๆ มี 3 รูปแบบ ตามช่องทางการรับเชื้อดังกล่าว:
หมายเหตุ: ระยะฟักตัวของโรค (ตั้งแต่ได้รับเชื้อจนแสดงอาการ) แตกต่างกันไปตามช่องทางรับเชื้อ โดยทั่วไปอยู่ในช่วงประมาณ 1-7 วันหลังสัมผัสเชื้อ แต่บางกรณี (โดยเฉพาะชนิดทางเดินหายใจ) อาจนานกว่านั้นได้ ดังนั้นหลังสัมผัสความเสี่ยงควรสังเกตอาการอย่างน้อย 1 สัปดาห์หรือมากกว่า
สถานการณ์ของโรคในประเทศไทย
ในประเทศไทย โรคแอนแทรกซ์จัดว่า พบได้น้อยมาก แต่ก็มีรายงานการระบาดประปรายในบางพื้นที่ย้อนหลังหลายสิบปีที่ผ่านมา กรณีการระบาดครั้งใหญ่ที่มีการบันทึก ได้แก่ ปี พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) ซึ่งพบผู้ป่วย 15 รายในจังหวัดพิจิตรและพิษณุโลก (ไม่มีผู้เสียชีวิต) และในปี พ.ศ. 2560 (ค.ศ. 2017) พบผู้ป่วย 2 รายที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งติดเชื้อจากการชำแหละซากแพะนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยทั้งสองรายนั้นไม่มีผู้เสียชีวิตเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็วๆ นี้ (ปลายเดือนเมษายน พ.ศ. 2568) ประเทศไทยพบการระบาดของแอนแทรกซ์อีกครั้งในพื้นที่บ้านดอนม่วง อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร โดยมีผู้เสียชีวิต 1 ราย ซึ่งถือเป็นการเสียชีวิตจากโรคแอนแทรกซ์ครั้งแรกของประเทศไทยในรอบกว่า 30 ปี (ครั้งสุดท้ายก่อนหน้านี้เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2537) ผู้เสียชีวิตเป็นชายอายุ 53 ปี ซึ่งมีประวัติร่วมชำแหละและบริโภคเนื้อวัวที่นำมาทำพิธีในงานบุญท้องถิ่นโดยไม่ได้ปรุงสุกเพียงพอ ส่งผลให้ติดเชื้อเข้าสู่ร่างกายผ่านทางบาดแผลที่มือและทางเดินอาหารพร้อมกัน
ในกรณีการระบาดที่มุกดาหารนี้ หน่วยงานสาธารณสุขได้ดำเนินมาตรการควบคุมโรคอย่างรวดเร็ว มีการติดตามเฝ้าระวังผู้ที่มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับเนื้อวัวหรือซากวัวที่ติดเชื้อจำนวนหลายร้อยคน พร้อมทั้งให้ยาปฏิชีวนะแก่ผู้มีความเสี่ยงสูงเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อขึ้น ทางการได้ประกาศให้พื้นที่ตำบลดอนม่วง อ.ดอนตาล จ.มุกดาหารเป็นเขตเฝ้าระวังโรคแอนแทรกซ์และเข้าควบคุมการระบาดร่วมกับหน่วยงานปศุสัตว์อย่างใกล้ชิด รวมถึงมีการรณรงค์ให้ประชาชนในพื้นที่หลีกเลี่ยงการบริโภคเนื้อสัตว์ดิบ และให้ความรู้ในการป้องกันโรคแก่กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ในจังหวัดใกล้เคียง
แนวทางการป้องกันโรคแอนแทรกซ์
แม้ว่าโรคแอนแทรกซ์จะเป็นโรคที่รุนแรง แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงและปฏิบัติตามคำแนะนำด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยในการประกอบอาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มที่ทำงานใกล้ชิดกับสัตว์หรือเนื้อสัตว์ เช่น เกษตรกร คนเลี้ยงวัวควาย คนขายเนื้อ และสัตวแพทย์ ควรปฏิบัติตามแนวทางต่อไปนี้:
การรักษา
โรคแอนแทรกซ์สามารถรักษาได้ หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที โดยยาหลักที่ใช้รักษาคือยาในกลุ่มปฏิชีวนะ (ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย) ซึ่งให้ผลดีต่อการกำจัดเชื้อแอนแทรกซ์ในร่างกาย
หากสงสัยว่าตนเองสัมผัสเชื้อแอนแทรกซ์หรือมีอาการเข้าข่ายโรคนี้ (เช่น มีแผลตุ่มดำหลังไปสัมผัสซากสัตว์ หรือมีไข้และอาการรุนแรงหลังรับประทานเนื้อสัตว์) ควรรีบพบแพทย์พร้อมแจ้งประวัติการสัมผัสหรือปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด นอกจากนี้ไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะมากินเอง หรือหยุดยาเองเมื่ออาการดีขึ้นโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เนื่องจากการรักษาโรคนี้จำเป็นต้องได้รับยาในขนาดและระยะเวลาที่เหมาะสมตามคำสั่งแพทย์
สรุป: โรคแอนแทรกซ์เป็นโรคติดเชื้อจากสัตว์สู่คนที่พบไม่บ่อยในประเทศไทย แต่ควรตระหนักถึงความรุนแรงของโรคนี้ไว้ แม้โรคนี้จะอันตรายแต่ก็สามารถป้องกันได้ด้วยการระมัดระวังการสัมผัสสัตว์และการบริโภคอาหาร รวมถึงการปฏิบัติตามคำแนะนำด้านสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด สำหรับกลุ่มเกษตรกรและผู้ทำงานกับสัตว์ควรเฝ้าระวังเป็นพิเศษ หากมีความเสี่ยงหรือเริ่มมีอาการผิดปกติควรรีบพบแพทย์ เพราะการตรวจพบและรักษาเร็วคือกุญแจสำคัญที่จะช่วยชีวิตผู้ป่วย และควบคุมไม่ให้โรคแอนแทรกซ์กลับมาระบาดในสังคมของเราได้อีก
บทความโดย: นพ.ณัฐชนน กุลสัมฤทธิ์ผล