รู้จักโรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) ในประเทศไทย

02-02-ข่าวประชาสัมพันธ์

รู้จักโรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) ในประเทศไทย

 

โรคแอนแทรกซ์คืออะไร?
โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) หรือที่ภาษาไทยเรียกว่า “โรคกาลี” คือโรคติดเชื้อร้ายแรงชนิดหนึ่งที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Bacillus anthracis ซึ่งสามารถสร้างสปอร์ที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ยาวนาน เชื้อชนิดนี้มักพบในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประเภทสัตว์กินพืชที่มีเท้ากีบ เช่น วัวควาย แพะ แกะ ซึ่งเป็นแหล่งรังโรคตามธรรมชาติของแอนแทรกซ์ โรคนี้จัดเป็นโรคที่สามารถติดต่อจากสัตว์สู่คน (zoonosis) และเป็นโรคที่พบได้น้อยแต่มีความรุนแรง หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้
 

สาเหตุของโรคแอนแทรกซ์ (เชื้อ Bacillus anthracis)
สาเหตุของโรคแอนแทรกซ์คือเชื้อแบคทีเรีย Bacillus anthracis ซึ่งอยู่ในรูปของสปอร์เมื่ออยู่ภายนอกร่างกาย สปอร์ของเชื้อนี้มีความทนทานสูง สามารถอยู่รอดในดินหรือสิ่งแวดล้อมได้นานหลายปีโดยไม่ถูกทำลาย เมื่อมีสัตว์ที่ติดเชื้อตาย สปอร์ของแอนแทรกซ์จะปะปนอยู่ในดินหรือหญ้าบริเวณนั้นหากสปอร์เหล่านี้ฟุ้งกระจายในอากาศหรือถูกสัตว์อื่นกินเข้าไปก็อาจเริ่มวงจรการติดเชื้อใหม่ได้อีกครั้ง นอกจากนี้แบคทีเรียชนิดนี้ยังสร้างสารพิษที่มีความรุนแรง ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อมีอาการป่วยหนักได้อย่างรวดเร็ว
 

การติดต่อและการแพร่กระจายของโรค
แม้โรคแอนแทรกซ์จะไม่ติดต่อจากคนสู่คนโดยง่าย แต่คนเราสามารถติดเชื้อแอนแทรกซ์ได้ผ่าน 3 ช่องทางหลัก ดังนี้:

 

  • ทางผิวหนัง (สัมผัสโดยตรง): การสัมผัสเชื้อผ่านทางบาดแผลหรือรอยถลอกบนผิวหนัง เช่น ในกรณีที่ชำแหละหรือจัดการซากสัตว์ที่ติดเชื้อ เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผลและก่อให้เกิดการติดเชื้อที่ผิวหนังได้ ช่องทางนี้เป็นรูปแบบการติดเชื้อที่พบบ่อยที่สุดในคนที่ทำงานใกล้ชิดกับสัตว์
  • ทางอาหาร (การรับประทาน): การรับประทานเนื้อสัตว์ที่มีเชื้อปนเปื้อนโดยไม่ปรุงสุกหรือปรุงไม่สุกพอ (เช่น การกินเนื้อดิบ) สามารถทำให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายผ่านระบบทางเดินอาหารและก่อโรคได้ การระบาดในคนหลายกรณีเกิดจากการบริโภคเนื้อวัวหรือแพะที่ติดเชื้อโดยไม่ได้ผ่านการปรุงสุก
  • ทางการหายใจ: การสูดหายใจเอาสปอร์ของเชื้อที่ฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศเข้าสู่ปอด (เช่น ในบริเวณคอกสัตว์ ดิน หรือฟางหญ้าที่มีสปอร์เชื้อสะสมอยู่) เป็นช่องทางการติดเชื้อที่พบได้น้อยที่สุด กรณีนี้มักเกิดเมื่อมีการรบกวนพื้นดินหรือสิ่งแวดล้อมที่มีสปอร์เชื้ออยู่ เช่น การขุดดินในบริเวณที่เคยมีสัตว์ป่วยตาย


อาการของโรคในแต่ละรูปแบบ
โรคแอนแทรกซ์ในคนสามารถเกิดอาการได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับช่องทางการติดเชื้อที่ได้รับ โดยหลักๆ มี 3 รูปแบบ ตามช่องทางการรับเชื้อดังกล่าว:

 

  • อาการของโรคแอนแทรกซ์ชนิดผิวหนัง (Cutaneous Anthrax) แอนแทรกซ์ชนิดผิวหนังเป็นรูปแบบที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากเชื้อเข้าทางบาดแผลที่ผิวหนัง ผู้ป่วยจะเริ่มมีตุ่มเล็กๆ ที่ผิวหนังบริเวณที่เชื้อเข้า ซึ่งอาจรู้สึกคันหรือระคายเคืองเล็กน้อย จากนั้นตุ่มจะแตกออกกลายเป็นแผลเปื่อยที่มีลักษณะเฉพาะคือ บริเวณกลางแผลจะแห้งเป็นสะเก็ดสีดำ (black eschar) บริเวณรอบแผลมักบวมแดง และอาจพบต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียง (เช่น ที่รักแร้หรือข้อศอก) โตและกดเจ็บร่วมด้วย ผู้ป่วยบางรายอาจมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัวหรือคลื่นไส้ร่วมด้วย แต่โดยมากอาการจะจำกัดอยู่ที่บริเวณผิวหนังที่ติดเชื้อและหายได้หากรักษาด้วยยาปฏิชีวนะอย่างเหมาะสม
  • อาการของโรคแอนแทรกซ์ชนิดทางเดินหายใจ (Inhalation Anthrax) แอนแทรกซ์ชนิดทางเดินหายใจเป็นรูปแบบที่รุนแรงและพบได้น้อยที่สุด เกิดจากการสูดสปอร์ของเชื้อเข้าสู่ปอด ในระยะแรกอาการอาจคล้ายไข้หวัดธรรมดาหรือไข้หวัดใหญ่ ได้แก่ มีไข้ต่ำ อ่อนเพลีย ไอ หรือแน่นหน้าอกเล็กน้อย แต่ภายในเวลาไม่กี่วันอาการจะทรุดลงอย่างรวดเร็ว ผู้ป่วยจะมีอาการหายใจลำบากอย่างรุนแรง แน่นหน้าอกมากขึ้น อาจเกิดภาวะระบบหายใจล้มเหลวและภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสเลือดตามมา หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที รูปแบบนี้มีอัตราการเสียชีวิตสูงมาก
  • อาการของโรคแอนแทรกซ์ชนิดทางเดินอาหาร (Gastrointestinal Anthrax) แอนแทรกซ์ชนิดทางเดินอาหารเกิดจากการกินเนื้อสัตว์ที่มีเชื้อปนเปื้อน อาการระยะแรกมักคล้ายโรคอาหารเป็นพิษทั่วไป เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และท้องเสียเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นอาการจะรุนแรงขึ้น ผู้ป่วยจะปวดท้องมากขึ้น อาเจียนเป็นเลือด และถ่ายเหลวรุนแรงได้ นอกจากนี้ผู้ป่วยมักมีไข้สูงและอาจเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษา แอนแทรกซ์ชนิดนี้พบได้น้อย แต่เป็นไปได้ในกรณีที่มีการบริโภคอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อดิบๆ หรือไม่สุกดี

 

หมายเหตุ: ระยะฟักตัวของโรค (ตั้งแต่ได้รับเชื้อจนแสดงอาการ) แตกต่างกันไปตามช่องทางรับเชื้อ โดยทั่วไปอยู่ในช่วงประมาณ 1-7 วันหลังสัมผัสเชื้อ แต่บางกรณี (โดยเฉพาะชนิดทางเดินหายใจ) อาจนานกว่านั้นได้ ดังนั้นหลังสัมผัสความเสี่ยงควรสังเกตอาการอย่างน้อย 1 สัปดาห์หรือมากกว่า
สถานการณ์ของโรคในประเทศไทย


ในประเทศไทย โรคแอนแทรกซ์จัดว่า พบได้น้อยมาก แต่ก็มีรายงานการระบาดประปรายในบางพื้นที่ย้อนหลังหลายสิบปีที่ผ่านมา กรณีการระบาดครั้งใหญ่ที่มีการบันทึก ได้แก่ ปี พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) ซึ่งพบผู้ป่วย 15 รายในจังหวัดพิจิตรและพิษณุโลก (ไม่มีผู้เสียชีวิต) และในปี พ.ศ. 2560 (ค.ศ. 2017) พบผู้ป่วย 2 รายที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งติดเชื้อจากการชำแหละซากแพะนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยทั้งสองรายนั้นไม่มีผู้เสียชีวิตเช่นกัน


อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็วๆ นี้ (ปลายเดือนเมษายน พ.ศ. 2568) ประเทศไทยพบการระบาดของแอนแทรกซ์อีกครั้งในพื้นที่บ้านดอนม่วง อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร โดยมีผู้เสียชีวิต 1 ราย ซึ่งถือเป็นการเสียชีวิตจากโรคแอนแทรกซ์ครั้งแรกของประเทศไทยในรอบกว่า 30 ปี (ครั้งสุดท้ายก่อนหน้านี้เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2537) ผู้เสียชีวิตเป็นชายอายุ 53 ปี ซึ่งมีประวัติร่วมชำแหละและบริโภคเนื้อวัวที่นำมาทำพิธีในงานบุญท้องถิ่นโดยไม่ได้ปรุงสุกเพียงพอ ส่งผลให้ติดเชื้อเข้าสู่ร่างกายผ่านทางบาดแผลที่มือและทางเดินอาหารพร้อมกัน


ในกรณีการระบาดที่มุกดาหารนี้ หน่วยงานสาธารณสุขได้ดำเนินมาตรการควบคุมโรคอย่างรวดเร็ว มีการติดตามเฝ้าระวังผู้ที่มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับเนื้อวัวหรือซากวัวที่ติดเชื้อจำนวนหลายร้อยคน พร้อมทั้งให้ยาปฏิชีวนะแก่ผู้มีความเสี่ยงสูงเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อขึ้น  ทางการได้ประกาศให้พื้นที่ตำบลดอนม่วง อ.ดอนตาล จ.มุกดาหารเป็นเขตเฝ้าระวังโรคแอนแทรกซ์และเข้าควบคุมการระบาดร่วมกับหน่วยงานปศุสัตว์อย่างใกล้ชิด รวมถึงมีการรณรงค์ให้ประชาชนในพื้นที่หลีกเลี่ยงการบริโภคเนื้อสัตว์ดิบ และให้ความรู้ในการป้องกันโรคแก่กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ในจังหวัดใกล้เคียง
แนวทางการป้องกันโรคแอนแทรกซ์


แม้ว่าโรคแอนแทรกซ์จะเป็นโรคที่รุนแรง แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงและปฏิบัติตามคำแนะนำด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยในการประกอบอาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มที่ทำงานใกล้ชิดกับสัตว์หรือเนื้อสัตว์ เช่น เกษตรกร คนเลี้ยงวัวควาย คนขายเนื้อ และสัตวแพทย์ ควรปฏิบัติตามแนวทางต่อไปนี้:

 

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ป่วยหรือซากสัตว์ที่สงสัยติดเชื้อ: ไม่ควรจับต้อง แร่เนื้อ หรือชำแหละซากของสัตว์ที่ป่วยหรือตายโดยไม่ทราบสาเหตุด้วยมือเปล่า เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อเข้าผิวหนังของเรา
  • ใช้ถุงมือและอุปกรณ์ป้องกันเมื่อต้องสัมผัสเนื้อสัตว์ดิบหรือเลือดสัตว์: ผู้ที่ทำงานฆ่าสัตว์หรือชำแหละเนื้อ เช่น ในโรงฆ่าสัตว์หรือเขียง ควรสวมถุงมือยาง เสื้อผ้าป้องกัน และรองเท้าบูท รวมถึงใช้อุปกรณ์ป้องกันอื่นๆ ตามความเหมาะสมทุกครั้งเพื่อลดโอกาสที่เชื้อจะสัมผัสผิวหนัง
  • ล้างมือและทำความสะอาดร่างกายทันทีหลังสัมผัสสัตว์หรือเนื้อสัตว์: หลังการสัมผัสหรือจัดการสัตว์/เนื้อสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นการให้อาหาร ทำคลอด ชำแหละ หรือเก็บกวาดที่คอก ควรรีบล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาด รวมถึงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เพื่อล้างเชื้อโรคที่อาจติดอยู่ตามผิวหนังออกไป
  • กินเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกและมาจากแหล่งที่ปลอดภัยเท่านั้น: หลีกเลี่ยงการบริโภคเนื้อดิบหรือสุกๆ ดิบๆ เช่น ลาบดิบ หรือลู่ ซึ่งอาจมีเชื้อโรคปนเปื้อน ควรเลือกซื้อเนื้อสัตว์จากแหล่งที่ผ่านการตรวจสอบของกรมปศุสัตว์และนำมาปรุงให้สุกทั่วถึงก่อนรับประทานทุกครั้ง เนื้อที่ปรุงสุกด้วยความร้อนที่เหมาะสมจะช่วยฆ่าเชื้อ Bacillus anthracis ได้

 

การรักษา
โรคแอนแทรกซ์สามารถรักษาได้ หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที โดยยาหลักที่ใช้รักษาคือยาในกลุ่มปฏิชีวนะ (ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย) ซึ่งให้ผลดีต่อการกำจัดเชื้อแอนแทรกซ์ในร่างกาย


หากสงสัยว่าตนเองสัมผัสเชื้อแอนแทรกซ์หรือมีอาการเข้าข่ายโรคนี้ (เช่น มีแผลตุ่มดำหลังไปสัมผัสซากสัตว์ หรือมีไข้และอาการรุนแรงหลังรับประทานเนื้อสัตว์) ควรรีบพบแพทย์พร้อมแจ้งประวัติการสัมผัสหรือปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด นอกจากนี้ไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะมากินเอง หรือหยุดยาเองเมื่ออาการดีขึ้นโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เนื่องจากการรักษาโรคนี้จำเป็นต้องได้รับยาในขนาดและระยะเวลาที่เหมาะสมตามคำสั่งแพทย์


สรุป: โรคแอนแทรกซ์เป็นโรคติดเชื้อจากสัตว์สู่คนที่พบไม่บ่อยในประเทศไทย แต่ควรตระหนักถึงความรุนแรงของโรคนี้ไว้ แม้โรคนี้จะอันตรายแต่ก็สามารถป้องกันได้ด้วยการระมัดระวังการสัมผัสสัตว์และการบริโภคอาหาร รวมถึงการปฏิบัติตามคำแนะนำด้านสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด สำหรับกลุ่มเกษตรกรและผู้ทำงานกับสัตว์ควรเฝ้าระวังเป็นพิเศษ หากมีความเสี่ยงหรือเริ่มมีอาการผิดปกติควรรีบพบแพทย์ เพราะการตรวจพบและรักษาเร็วคือกุญแจสำคัญที่จะช่วยชีวิตผู้ป่วย และควบคุมไม่ให้โรคแอนแทรกซ์กลับมาระบาดในสังคมของเราได้อีก

 

 

บทความโดย: นพ.ณัฐชนน กุลสัมฤทธิ์ผล

เว็บไซต์โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสบการณ์และความพึงพอใจในการใช้งานเว็บไซต์
หากคุณกด “Accept” หรือใช้งานเว็บไซต์ของเราต่อ ถือว่าคุณยินยอมให้มีการใช้งานคุกกี้
ประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว